ปปช. เอาจริง! ชี้มูลความผิดอดีต ผอ.สพป.ตรัง เขต 2 กรณีใช้รถราชการเสมือนรถประจำตำแหน่ง

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้จัดแถลงผลการดำเนินงานที่โรงแรมเลอ เอราวัณ อำเภอเมือง จังหวัดพังงา โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ ป.ป.ช. ภาค 8 และภาค 9 ร่วมแถลงถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบการทุจริตในพื้นที่ภาคใต้ หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจคือกรณีของอดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ตรัง เขต 2 ที่ถูกชี้มูลความผิดอย่างหนัก

ที่มาของเรื่องร้องเรียน

เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรังได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหานายประจักษ์ (สงวนนามสกุล) อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 ว่ามีพฤติกรรมนำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้ในลักษณะเสมือนเป็นรถประจำตำแหน่ง ทั้งที่ตำแหน่งดังกล่าวไม่มีสิทธิ์ได้รับรถประจำตำแหน่งตามระเบียบราชการ

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวน

ผลการไต่สวนของ ป.ป.ช. พบข้อเท็จจริงที่น่าตกใจว่า นายประจักษ์ได้นำรถยนต์ส่วนกลางยี่ห้ออีซูซุ รุ่น MU-7 ซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการไปใช้เดินทางระหว่างบ้านพักส่วนตัวในเขตตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง ไปยังที่ทำงานในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นประจำทุกวัน ระยะทางไป-กลับประมาณ 60 กิโลเมตรต่อวัน ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งกว่า 3 ปี

พฤติกรรมดังกล่าวยังรวมถึงการอนุญาตให้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปเก็บรักษาที่อื่นนอกเหนือจากสถานที่ราชการ ทั้งที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 มีสถานที่เก็บรักษารถที่ปลอดภัยและเพียงพอ อีกทั้งการใช้รถในลักษณะดังกล่าวยังไม่มีการขออนุญาตใช้รถตามระเบียบราชการแต่อย่างใด

ความเสียหายต่อราชการ

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในการใช้รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตัว นายประจักษ์ยังได้เบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากงบประมาณของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรังเขต 2 ทุกครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 217,817.80 บาท ตลอดระยะเวลา 3 ปี สร้างความเสียหายอย่างชัดเจนต่องบประมาณของทางราชการ

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

หลังจากพิจารณาพยานหลักฐานอย่างรอบด้าน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติว่าการกระทำของนายประจักษ์มีความผิดทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างร้ายแรง โดยแบ่งเป็น:

ความผิดทางอาญา

  • ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151
  • ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และมาตรา 91
  • ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172

ความผิดทางวินัย

  • ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
  • ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยการศึกษา ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง

การดำเนินการต่อไป

สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรังจะส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน พร้อมเอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี พร้อมกันนี้ยังจะส่งสำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐานพร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาดำเนินการทางวินัยตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

บทเรียนสำคัญสำหรับข้าราชการ

กรณีของอดีตผู้อำนวยการ สพป.ตรัง เขต 2 รายนี้ ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบและดำเนินการกับข้าราชการที่กระทำการทุจริต แม้จะเป็นเรื่องที่อาจดูเล็กน้อยในสายตาของหลายคน แต่การใช้ทรัพย์สินราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัวถือเป็นการทุจริตที่สร้างความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินอย่างชัดเจน

กรณีนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ข้าราชการทุกระดับตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามระเบียบการใช้ทรัพย์สินของทางราชการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รถยนต์ส่วนกลางซึ่งมีระเบียบกำหนดไว้อย่างชัดเจน การละเมิดระเบียบเหล่านี้นอกจากจะมีความผิดทางวินัยแล้ว ยังอาจมีความผิดทางอาญาที่มีโทษร้ายแรงได้

การเฝ้าระวังของภาคประชาชน

การแถลงข่าวครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังการทุจริตในหน่วยงานราชการ การร้องเรียนเบาะแสการทุจริตถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานตรวจสอบสามารถเข้าไปดำเนินการตรวจสอบและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ซึ่งเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้กับสังคมและระบบราชการไทย

ป.ป.ช. กับความมุ่งมั่นปราบปรามการทุจริต

การแถลงผลการดำเนินงานของ ป.ป.ช. ภาค 8 และภาค 9 ครั้งนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการปราบปรามการทุจริตทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายมหาศาล หรือการทุจริตเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมจนกลายเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ถูกต้องในระบบราชการไทย

ทั้งนี้ ความสำเร็จในการปราบปรามการทุจริตของ ป.ป.ช. ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชน ในการร่วมเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวัง และรายงานพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยที่โปร่งใสและปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันอย่างยั่งยืนต่อไป